ถอดแนวคิด ‘เนวิลล์ ฟู้ด’ ฟาร์มแม่ไก่อารมณ์ดี - โปรตีนจิ้งหรีด เทรนด์อาหารแห่งอนาคตสร้างความยั่งยืน รับเทรนด์ Future Food

เมื่อโลก กำลังเผชิญกับความท้าทายใหม่จากการเพิ่มขึ้นของประชากร โดยองค์การสหประชาชาติ (UN) ได้คาดการณ์ว่า ประชากรโลกจะเพิ่มจำนวนจากปัจจุบันที่มีอยู่ราว 7.3 พันล้านคน เป็น 8.5 พันล้านคน ในปี 2573 และเพิ่มเป็น 11.2 พันล้านคนในปี 2643 ส่งผลให้มีแนวโน้มที่จะขาดแคลนทรัพยากรโดยเฉพาะอาหารเนื่องมาจากปริมาณความต้องการบริโภคที่เพิ่มสูงขึ้น

บทความนี้ Bangkok Bank SME จะพาไปทำความรู้จักอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าสนใจของ คุณสุจิต จิตทิชานนท์ ที่นอกจากจะมองเห็นโอกาสจากเทรนด์ Pet Humanization จนนำไปสู่การตั้ง โรงพยาบาลสัตว์ บีเอ็มเอช โรงพยาบาลสัตว์แบบครบวงจร จนประสบความสำเร็จ ผู้บริหารหนุ่มรุ่นใหม่ท่านนี้ ยังเข้าไปลงทุนในธุรกิจ ‘อาหารแห่งอนาคต’ หรือที่เรียกว่า Future Food โดยแตกไลน์จาก ธุรกิจฟาร์มไก่ไข่ออร์แกนิก มาสู่ธุรกิจ ฟาร์มจิ้งหรีด ภายใต้ชื่อ บริษัท เนวิลล์ ฟู้ด เซอร์วิส จำกัด รองรับความต้องการโปรตีนจากแมลง อีกหนึ่ง Mega Trend กำลังมาแรงและถูกพูดถึงเป็นวงกว้าง

นำความรู้ที่เรียนมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจ

คุณสุจิต จิตทิชานนท์ Co-founder บริษัท เนวิลล์ ฟู้ด เซอร์วิส จำกัด กล่าวว่า ธุรกิจหลักของ ‘เนวิลล์ ฟู้ด’ คือ ฟาร์ม ‘ไก่ไข่ออร์แกนิก’ กับ ฟาร์ม ‘จิ้งหรีด’ และกำลังพัฒนา 'หนอนแมลงวันลาย' (Black Soldier Fly) ซึ่งใช้สำหรับเป็นอาหารสัตว์

ผมเริ่มทำธุรกิจนี้ จากการรับหน้าที่เป็น เซลล์แอนด์คอนซัลแตนท์ ให้กับฟาร์มปศุสัตว์ บวกกับประสบการณ์ที่อยู่ในธุรกิจปศุสัตว์ ขายยา และเวชภัณฑ์ ให้ฟาร์มปศุสัตว์ ทำให้เห็นภาพรวมของตลาดว่ายังมีช่องว่างอยู่ จึงพยายามมองหาโอกาสทำธุรกิจเกี่ยวกับปศุสัตว์ จนนำมาสู่ธุรกิจ ฟาร์มออร์แกนิก แห่งนี้

คุณสุจิต เผยว่า เทรนด์อาหารสุขภาพกำลังมาแรง ซึ่งฝั่งยุโรป และ อเมริกา เขาจะใส่ใจเรื่องสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) มานานแล้ว แต่ในไทยยังไม่มีธุรกิจไหนทำแบบจริงจัง เราจึงมาวิเคราะห์ว่า ในอุตสาหกรรมปศุสัตว์ เทรนด์ในอนาคตคืออะไร พบว่า สิ่งที่เราสามารถเริ่มต้นได้ คือ ไข่ไก่ Free-Range หรือ ออร์แกนิก

ปี 2562 จึงเริ่มวิจัยและพัฒนา เริ่มจากทำในรูปแบบของฟาร์มออร์แกนิก ได้ผลตอบรับที่ดีจากลูกค้ากลุ่ม Niche Market ที่มีกำลังจ่าย และมีแนวโน้มการเติบโตของกลุ่มผู้บริโภคสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกปี

ไข่ออร์แกนิก แตกต่างจากไข่ทั่วไปอย่างไร

เจ้าของฟาร์ม อธิบายว่า ไข่ออร์แกนิก ต้องได้ใบรับรองมาตรฐานที่ออกโดยกรมปศุสัตว์ ซึ่งไก่ไข่ทั่วไป เลี้ยงเฉพาะในโรงเรือน และขยับขึ้นมาจะเป็น Free-Range หมายความว่า แม่ไก่สามารถออกไปนอกโรงเรือนได้ แม้จะมีการจำกัดบริเวณก็ตาม เพื่อให้ได้รับแสงแดดอ่อน ๆ เป็นการแสดงถึงการใส่ใจในสวัสดิภาพสัตว์ (Animal Welfare) มากขึ้น และ Step ที่เป็นออร์แกนิก คือ อาหารที่สัตว์กินจะต้องได้รับ Certificate ด้วยเช่นกัน

ดังนั้น การจะทำฟาร์มไก่ไข่ออร์แกนิก ต้องประกอบด้วย 2 สิ่ง คือ สถานที่ และ อาหาร ต้องเป็นออร์แกนิกที่ได้รับมาตรฐานด้วย ซึ่งไข่ออร์แกนิกของ ‘เนวิลล์ ฟาร์ม’ มีใบ Certificate ที่ได้ตามมาตรฐานจากกรมปศุสัตว์ การันตีเรื่องคุณภาพและความปลอดภัยได้เป็นอย่างดี

ฟาร์มแม่ไก่อารมณ์ดี เห็น ‘ความสุขของไก่’ เป็นเรื่องสำคัญ

คุณสุจิต บอกว่า ปัจจุบัน ‘เนวิลล์ ฟาร์ม’ นอกจากส่วนของฟาร์มออร์แกนิกแล้ว ยังมีการขยายในส่วนฟาร์มที่เป็น Free-Range เพิ่มเติมเพื่อรองรับตลาดที่กว้างขึ้น เทียบกับพื้นที่การทำฟาร์มไก่ทั่วไป จะใช้พื้นที่มากกว่า 30 - 40 เท่า โดย 1 ตารางเมตรในโรงเรือน จะเลี้ยงไก่ได้ 4 - 5 ตัวเท่านั้น และยังต้องมีพื้นที่สำหรับให้ไก่ออกมาเดินส่วนภายนอกอีก ทำให้ใช้พื้นที่มากกว่าฟาร์มไก่ทั่วไปหลายเท่า

สำหรับการดูแล เราต้องปล่อยให้ไก่ออกมาข้างนอก ช่วงที่แดดไม่ร้อน คือช่วงเช้า ประมาณ 5:30 - 9:00 น. และช่วงเย็น 17.00 – 18.00 น. เพื่อป้องกันการเกิด Heat Stroke ในสัตว์ การเลี้ยงแบบนี้ จะทำให้แม่ไก่อารมณ์ดี ได้ผ่อนคลาย ไม่เครียด ซึ่งในประเทศในแถบยุโรป จะมีข้อบังคับให้ฟาร์มต้องทำตามมาตรฐาน Animal Well Fair อย่างเคร่งครัด

“การดูแลสัตว์อย่างมีสวัสดิภาพด้วยความเอาใจใส่ ตั้งแต่เริ่มต้นจนถึงวาระสุดท้ายของชีวิต เป็นเรื่องดี หากเรามีส่วนผลักดันให้สัตว์เหล่านั้นได้รับการดูแลที่ดีที่สุด”

‘ราคาสูงกว่า’ จะแข่งขันในตลาดได้อย่างไร?

หากมองด้านราคาที่จะแข่งขันในตลาด คุณสุจิต ยอมรับว่า มีทั้งความยากและความง่าย คือ หากเราทำ ออร์แกนิกอย่างเดียว จะได้กลุ่มลูกค้าเพียงกลุ่มเดียว แต่หากทำแบบ Free-Range ด้วย ราคาจะถูกลง ทำให้ลูกค้าเข้าถึงได้ง่ายขึ้น

สิ่งสำคัญ คือต้องสร้างความมั่นใจให้กับผู้บริโภคว่า ผลิตภัณฑ์ของเราแตกต่างจากตลาดอย่างไร โดยเราเลือกวางขายใน Supermarket เช่น Gourmet Market, Tops Market และ Golden Place ซึ่งช่องทางเหล่านี้ มีความละเอียดอ่อนในการคัดเลือกสินค้าไปจำหน่าย สามารถการันตีเรื่องคุณภาพได้เป็นอย่างดี โดยข้อดีของการรับประทานไข่ออร์แกนิก นอกจากจะดีต่อสุขภาพแล้ว ยังดีต่อสิ่งแวดล้อม และโลกไปพร้อมกันด้วย

‘โปรตีนจิ้งหรีด’ เทรนด์อาหารแห่งอนาคต

ปัจจุบัน เนวิลล์ ฟู้ด หันมาให้ความสำคัญ จึงมุ่งพัฒนา ‘อาหารเทรนด์แห่งอนาคต’ คือ โปรตีนจากแมลง โดยทำ ‘ฟาร์มจิ้งหรีด’ คุณสุจิต สะท้อนภาพธุรกิจว่า ‘เนวิลล์ ฟู้ด’ เลี้ยงจิ้งหรีดตามมาตรฐาน ซึ่งขณะนี้ ตลาดแมลงบ้านเราได้รับการตอบรับที่ดีอย่างต่อเนื่อง

ในอนาคต ‘เนวิลล์ ฟู้ด’ มีแผนจะพัฒนาไปสู่ ผลิตภัณฑ์ โปรตีนผงจากจิ้งหรีด แต่ขณะนี้ อยู่ระหว่างการ พัฒนาระบบการเลี้ยงให้ได้มาตรฐานดีที่สุดก่อน หากการเลี้ยงมีคุณภาพ จะทำให้ได้โปรตีนผงจากจิ้งหรีดที่มีประสิทธิภาพดี ผู้บริโภคจะได้รับประโยชน์สูงสุด

คุณสุจิต กล่าวว่า ความรู้ที่ได้จากการเรียน สัตวแพทย์ ทำให้เราสามารถคิดค้นสูตรอาหารในการดูแลสัตว์ในฟาร์มของเราเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ ล่าสุด ‘เนวิลล์ ฟู้ด’ กำลังพัฒนา 'หนอนแมลงวันลาย' (Black Soldier Fly) ที่ใช้เป็นอาหารสัตว์ โดยนำแมลงวันลาย ระยะที่ยังเป็นตัวหนอน มาทำให้แห้ง แล้วป่นเป็นอาหารสัตว์ ช่วยลดการใช้ถั่วเหลืองได้หลายตัน ให้พลังงาน โปรตีนสูง ซึ่งหนอนแมลงวันลาย มีคุณค่าทางโภชนาการและโปรตีนมากกว่า 40% ไขมัน 35% ให้พลังงาน 2,900 แคลอรี่/กิโลกรัม มีโอเมก้า 3, 6, 9 และยังมีกรดลอริกเหมือนที่อยู่ในน้ำนมแม่ มีฤทธิ์ช่วยยับยั้งการเจริญเติบโตของเชื้อโรคต่าง ๆ เหมาะที่จะนำมาใช้เป็นอาหารสัตว์ ได้แก่ ไก่ เป็ด ปลา ได้เป็นอย่างดี

ปัจจุบันหนอนแมลงวันลาย ได้รับความนิยมในอุตสาหกรรมอาหารและพลังงานทดแทน เนื่องจากให้ผลผลิตดี โดยเลี้ยงเพียง 2 สัปดาห์ จะมีขนาดใหญ่ได้ถึง 5,000 เท่า ไม่เป็นพาหะนำโรคให้กับมนุษย์ และไม่เป็นศัตรูพืช รวมถึงเป็นผู้ย่อยสลายตามธรรมชาติที่มีประสิทธิภาพอีกด้วย

คุณสุจิต ให้มุมมองว่า ในอนาคต โปรตีนจากจิ้งหรีด จะเป็นที่ต้องการของกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุมากขึ้น เพราะโปรตีนจากแมลง ลดการบริโภคโปรตีนจากเนื้อสัตว์ได้ถึง 50% เหมาะสำหรับเด็ก และผู้สูงอายุที่ต้องการควบคุมอาหาร โดยไม่ต้องรับประทานเนื้อสัตว์ แต่ได้รับสารอาหารง่ายขึ้น

เนื่องจาก โปรตีนจากแมลง สามารถนำไปผสมในวัตถุดิบ นำไปปรุงอาหารต่าง ๆ ได้อย่างหลากหลาย เช่น เส้นพาสต้า หรืออาหารแปรรูป อีกทั้ง จิ้งหรีดจะกินอาหารจำพวกข้าวโพด ถั่วเหลือง จึงมีโปรตีนที่ร่างกายต้องการสูง ซึ่งเมื่อเปรียบเทียบแล้ว โปรตีนจากเนื้อสัตว์ 1 กิโลกรัม กับ โปรตีน จากแมลง 1 กิโลกรัม ใช้ทรัพยากรในการเลี้ยงต่างกัน 30 - 40 เท่า ทำให้ตอบโจทย์เรื่องความยั่งยืน (Sustainability) ลดการปล่อยคาร์บอน ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ได้รับการรับรองจากองค์การก๊าซเรือนกระจก อยู่ใน Scope ที่ 3 ของการลดการปล่อยคาร์บอน

สำหรับเรื่องการส่งออก คุณสุจิต เผยว่า ‘เนวิลล์ ฟู้ด’ มีแผนผลิตโปรตีนผงเพื่อส่งออก แต่ต้องรอผลในเรื่องข้อบังคับ กฎหมายและเงื่อนไขการส่งออกของประเทศนั้น ๆ ด้วย

“ผมต้องการวาง Position ‘เนวิลล์ ฟู้ด’ เป็นบริษัทผลิตอาหารแห่งอนาคต (Future Food) ขณะเดียวกัน ต้องสร้างความยั่งยืน (Sustainability) ให้กับสิ่งแวดล้อม และโลกไปพร้อม ๆ กันด้วย”

ฝากถึงผู้ประกอบการที่อยากทำธุรกิจ

ก่อนจบการสนทนา ผู้บริหารรุ่นใหม่ ให้แง่คิดว่า ถ้าเราต้องการจะทำธุรกิจให้ประสบความสำเร็จ ต้องเตรียมความพร้อม ทั้ง เงินทุน ความรู้ และ Connection ต้องรู้ว่าลูกค้าเป็นใคร ผู้ผลิต แหล่งวัตถุดิบ ต้องหาจากไหน และต้องมีการประเมินอัตราความสำเร็จ ด้วยว่า มีโอกาสสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ซึ่งควรมากกว่า 60% ขึ้นไป ถึงควรเริ่มต้นธุรกิจได้ ที่สำคัญ ต้องรู้จักปรับตัวและเรียนรู้อยู่ตลอดเวลา เพื่อหาโอกาสใหม่ ๆ ต่อยอดให้ธุรกิจเติบโตอย่างยั่งยืน

ขอบคุณเครดิตภาพประกอบจาก บริษัท เนวิลล์ ฟู้ด เซอร์วิส จำกัด

รู้จัก บริษัท เนวิลล์ ฟู้ด เซอร์วิส จำกัด เพิ่มเติมได้ที่ :

https://www.facebook.com/Naevilleorganic/